สูตรการทำขนมไทย:ข้าวเหนียวมะม่วง
เครื่องปรุง +
ส่วนผสม
* มะม่วงสุก 3
ลูก
* ข้าวเหนียว 1
กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450
กรัม
* เกลือป่น 3/4
ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550
กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5
ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 2
ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)
* เกลือป่น 1/4
ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)
วิธีทำ
1.
นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ
2.
นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง
จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3.
ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ
และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป
ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง
ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป
จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว
และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
5.
ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น
(1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ
6.
ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ
ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง
ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ
ประโยชน์และโทษของข้าวเหนียวมะม่วง
ช่วงนี้หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่มะม่วง
ทั้งมะม่วงดิบ มะม่วงสุก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหลายรายก็ขาย “มะม่วงสุก” พ่วงกับข้าวเหนียวมูน จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะซื้อ “ข้าวเหนียวมะม่วง”
ติดมือกลับไปกินที่บ้าน แต่รู้หรือไม่ว่า “ข้าเหนียวมะม่วงมีประโยชน์อย่างไร
นพ.กฤษดา ศิรามพุธ ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
กล่าวว่า องค์การอหารและเกษตรโลก หรือ
เอฟเอโอแนะให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีปัญหาขาดวิตามินสำคัญอย่างวิตามินเอ
วิตามินซีและธาตุเหล็กกิน มะม่วง เพื่อช่วยป้องกันโรคและแก้การขาดสารอาหาร
มะม่วง เหมาะกับ
1. ผู้มีปัญหาสิว
เพราะมะม่วงมีกรดดีอยู่หลายชนิดช่วยบำรุงผิว มีวิตามินเอ
วิตามินอีและซีลีเนียมสำหรับผิวพรรณอยู่มาก และสารต้านอนุมูลอิสระ
(แอนตี้ออกซิแดนท์) จะช่วยล้างอนุมูลอิสระที่จับผิว
2. ผู้เบื่ออาหาร
เพราะมะม่วงมีวิตามินหลายชนิดช่วยชดเชย อาทิ วิตามินเอ วิตามินอี
ธาตุเหล็กและแอนตี้ออกซิแดนท์ กลุ่ม “ฟีโนลิก” และยังมีส่วนป้องกันมะเร็งเต้านม
มะเร็งทางเดินอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. คนท้องเสีย
น้ำมะม่วงคั้นสดช่วยเป็นแหล่งน้ำตาล “ฟรุกโตส” ชั้นดีที่ช่วยเติมเต็มให้ในช่วงที่ขาดน้ำและเสียเกลือแร่
4. คนท้องผูก มะม่วงช่วยคลายไส้ให้บีบตัวดีแถมมีเส้นใยมากช่วย
“ดีท็อกซ์” ลำไส้ได้
ในคนธาตุแข็งขอให้รับประทานมะม่วงสุกที่ยิ่งเปรี้ยวได้ยิ่งดี มะม่วงมีน้ำย่อยเป็นเอนไซม์ชื่อ “แมนีเฟอริน” “คาทีคอล ออกซิเดส” และ “แลกเทส” อยู่มาก
5. ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ กรดเปรี้ยวในน้ำมะม่วงช่วยล้างตั้งแต่กรวนไตไปจนถึงท่อปัสสาวะได้สะอาดหมดจดดี
มะม่วงไม่เหมาะกับ
1. โรคไต
เพราะขับเกลือแร่ออกได้ไม่ดี
อาจมีเกลือแร่บางชนิดคั่งมาก
2. โรคหัวใจรุนแรง
เพราะมะม่วงมีแร่ธาตุเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจอย่าง “โพแทสเซียม” อยู่ค่อนข้างสูง ถ้ายังไม่เป็นโรคหัวใจแต่ต้องการป้องกันโรคหัวใจไว้ก่อนขอให้เลือกมะม่วงน้ำดอกไม้เพราะมีเบต้าแคโรทีนเป็นธาตุบำรุงหัวใจที่ดี
มะม่วงสุกที่กินกับข้าวเหนียวมะม่วง
มักมีวิตามินแร่ธาตุไม่ต่างกันมาก
ถ้าอยากได้ชนิดที่เนื้อเยอะวิตามินเอเยอะ ให้เลือ น้ำดอกไม้ มีเบต้าแคโรทีนสูงกว่ามะเขือเทศราชินีและมะละกอสุกอีก
ถ้าอยากได้แป้งน้อยกว่าให้เลือกมะม่วงสุก
ถ้าอยากได้น้ำตาลน้อยให้เลือกมะม่วงดิบ
ข้าวเหนียวมูน
มีแคลอรี่สูงจากแป้งขาว จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
ถ้าจำเป็นต้องกินขอให้เน้นที่มะม่วงมากกว่าข้าวเหนียวเพราะเนื้อมะม่วงมีกากช่วยกันไม่ให้น้ำตาลซึมเข้าเลือดเร็วไป
และไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง
เพราะข้าวเหนียวกับกะทิมีความหวานและมันสูง
เทคนิคการกิน “ข้าวเหนียวมะม่วง”
ไม่เพิ่มพุง คือ
1. ให้หนักมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว
2.
ใช้ข้าวเหนียวดำเพราะมีไฟเบอร์และแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี
3.
มื้อใดกินข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นไม่ควรรับประทานข้าวแล้ว
4.
ให้ถือข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารมื้อหนักมื้อหนึ่ง
5. รับประทานทีละชุดเล็ก เช่น
มะม่วงหนึ่งลูกต่อข้าวเหนียวมูนขนาดเท่ามะม่วงครึ่งลูก
6. ขอให้รับประทานช่วงเที่ยงจะดีกว่าก่อนนอน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น