Slide 1 Title Here

This is slide 1 description - Designcart.org

Slide 2 Title Here

This is slide 2 description - Designcart.org

Slide 3 Title Here

This is slide 3 description - Designcart.org

Slide 4 Title Here

This is slide 4 description - Designcart.org

ขนมไทย : หม้อแกง

ส่วนผสม

* ถั่วเขียว 250 กรัม (เผือก, เม็ดบัว, อื่นๆ)

* น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง

* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

* น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม

* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

* ไข่เป็ด 3 ฟอง

* หอมแดงซอยละเอียด 3 ลูก

* ใบเตย 3 ใบ


 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน


1. นำหอมแดงไปเจียวในน้ำมันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ )

2. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้ำและนำไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนำไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนำเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ

3. ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้ำตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยำโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้ำตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยำต่ออีกจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก
  
4. เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

5. นำส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อนำไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานำมากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแยกชั้นเมื่อนำไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี

6. นำส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนำหอมเจียวไปโรยหน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที

7. ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้ เวลาเสริฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสม ถ้าอบโดยใส่แบบอื่นๆไว้ ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสริฟได้พร้อมแบบทันที 



ขนมหวานไทย : สังขยาฟักทอง

ส่วนผสม 
* ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)

* ไข่่ 4 ฟอง

* หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง

* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง

* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา

* น้ำปูนใส

 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ (เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)

2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่, หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี
   
3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้สังขยาเละ



สูตรขนมหวานไทย : วุ้นกะทิ



     เครื่องปรุง + ส่วนผสม

+ ส่วนผสมตัววุ้น +

* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำเปล่า 5 1/2 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง

* น้ำใบเตย,น้ำกาแฟ หรือสีผสมอาหาร (จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้)

+ ส่วนผสมหน้าวุ้น +

* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำมะพร้าว 2 1/2 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง

* หัวกะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง

* แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ

* เกลือ 1 1/2 ช้อนชา

* แม่พิมพ์สำหรับใส่วุ้น (ถ้วยหรือชามเล็กๆ ก็สามารถใช้แทนกันได้)



      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ทำตัววุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำเปล่า ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย (หมายเหตุ : สามารถใส่น้ำใบเตยเพื่อทำวุ้นกะทิใบเตยหรือ น้ำกาแฟเพื่อทำวุ้นกะทิกาแฟ หรืออาจใส่ สีผสมอาหารเพื่อให้ได้สีที่ต้องการสำหรับตัววุ้น)

2. ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้ละลายดีจึงหรี่ไฟเบาลง

3. ตักส่วนผสมตัววุ้นลงไปในแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ โดยหยอดให้ได้ประมาณ 3/4 ของแบบ และปล่อยไว้ให้วุ้นจับตัวพอตึง

4. ระหว่างรอตัววุ้นแข็ง เตรียมทำหน้าวุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำมะพร้าว ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย

5. จากนั้นจึงใส่แป้งข้าวโพด, หัวกะทิ (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) และ เกลือลงไปในส่วนผสมหน้าวุ้น คนอย่างต่อเนื่องจน ส่วนผสมละลายเข้ากัน

6. ใส่หัวกะทิที่เหลือลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงนำส่วนผสมของหน้าวุ้นไปหยอดใส่พิมพ์ให้เต็มอย่างปราณีต (พิมพ์ต้องใส่ตัววุ้นก่อน และต้องรอจน ตัววุ้นแข็งพอตึงๆก่อน มิเช่นนั้นตัววุ้นและหน้าวุ้นจะผสมกัน)


7. เมื่อหน้าวุ้นและตัววุ้นแข็งดีแล้วก็ให้เคาะออกจากแบบ จัดใส่จานและเสริฟได้ทันที

ภาพ www.kruaklaibaan.com
ที่มา http://www.ezythaicooking.com/

 สูตรขนมหวานไทย : กล้วยบวดชี


     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)
* หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร
* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร
* ใบเตย 2 ใบ
* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม
* น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
* เกลือ




     วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย
  
3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว
4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที


 ที่มา http://www.ezythaicooking.com/

สูตรการทำขนมไทย : ฝอยทอง


   ฝอยทอง เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยๆ สีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก  โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวโร่ (โปรตุเกส: Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส

   ฝอยทองแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดย ดอนญ่า มารี กีมาร์ เดอปิน่า (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น

                           

อุปกรณ์
        - กระทะทองเหลือง ชามผสม กระชอน เทียนหอม

 วัตถุดิบ
        1. ไข่แดงของไข่เป็ด 3 ฟอง
        2. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง
        3. กลิ่นดอกมะลิ ½ ช้อนชา
        4. ใบเตย 1 ใบ
        5. น้ำตาลทราย 600 ก.
        6. น้ำเปล่า 400 มล.
        7. เทียนอบ 1 ชิ้น

วิธีการทำ
    1. นำน้ำเปล่า น้ำตาลทราย ใบเตย กลิ่นมะลิ ลงต้มในกระทะทองเหลือง เปิดไฟแรง ห้ามคนเด็ดขาดไม่อย่างนั้นน้ำตาลจะตกผลึก
    2. ตีไข่ไก่และไข่เป็ดให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ จากนั้นตักไข่ใส่กรวยสำหรับทำฝอยทอง
    3. ตักใบเตยออก และหยอดไข่ให้เป็นสาย วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20 - 30 รอบ ต่อ 1 ชิ้น
    4. ใช้ไม้ปลายแหลม ค่อยๆช้อนฝอยทองขึ้นมาให้เป็นแผ่น วางพักไว้บนตะแกรง 30 นาที

    5. จุดเทียนหอมให้มีควันขึ้นมา แล้วจึงดับไฟ นำเทียนหอมและขนมฝอยทอง อบรวมกันด้วยภาชนะปิด 10 นาที ก็จะได้ฝอยทองหอมๆไว้รับประทานแล้วค่ะ

สูตรการทำขนมไทย:ข้าวเหนียวมะม่วง



เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มะม่วงสุก 3 ลูก
* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)

วิธีทำ

1. นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ

2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก

3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ

4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที

5. ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ

6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ

ประโยชน์และโทษของข้าวเหนียวมะม่วง
ช่วงนี้หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่มะม่วง ทั้งมะม่วงดิบ มะม่วงสุก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหลายรายก็ขาย มะม่วงสุกพ่วงกับข้าวเหนียวมูน จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะซื้อ ข้าวเหนียวมะม่วงติดมือกลับไปกินที่บ้าน แต่รู้หรือไม่ว่า ข้าเหนียวมะม่วงมีประโยชน์อย่างไร

นพ.กฤษดา  ศิรามพุธ ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า องค์การอหารและเกษตรโลก หรือ เอฟเอโอแนะให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีปัญหาขาดวิตามินสำคัญอย่างวิตามินเอ วิตามินซีและธาตุเหล็กกิน มะม่วง เพื่อช่วยป้องกันโรคและแก้การขาดสารอาหาร

มะม่วง เหมาะกับ

1.  ผู้มีปัญหาสิว  เพราะมะม่วงมีกรดดีอยู่หลายชนิดช่วยบำรุงผิว มีวิตามินเอ วิตามินอีและซีลีเนียมสำหรับผิวพรรณอยู่มาก และสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) จะช่วยล้างอนุมูลอิสระที่จับผิว

2.  ผู้เบื่ออาหาร  เพราะมะม่วงมีวิตามินหลายชนิดช่วยชดเชย อาทิ วิตามินเอ วิตามินอี ธาตุเหล็กและแอนตี้ออกซิแดนท์ กลุ่ม ฟีโนลิกและยังมีส่วนป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่

3.  คนท้องเสีย  น้ำมะม่วงคั้นสดช่วยเป็นแหล่งน้ำตาล ฟรุกโตสชั้นดีที่ช่วยเติมเต็มให้ในช่วงที่ขาดน้ำและเสียเกลือแร่

4.  คนท้องผูก  มะม่วงช่วยคลายไส้ให้บีบตัวดีแถมมีเส้นใยมากช่วย ดีท็อกซ์ลำไส้ได้ ในคนธาตุแข็งขอให้รับประทานมะม่วงสุกที่ยิ่งเปรี้ยวได้ยิ่งดี  มะม่วงมีน้ำย่อยเป็นเอนไซม์ชื่อ แมนีเฟอริน” “คาทีคอล ออกซิเดสและ แลกเทสอยู่มาก

5.  ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ  กรดเปรี้ยวในน้ำมะม่วงช่วยล้างตั้งแต่กรวนไตไปจนถึงท่อปัสสาวะได้สะอาดหมดจดดี

มะม่วงไม่เหมาะกับ

1.  โรคไต  เพราะขับเกลือแร่ออกได้ไม่ดี  อาจมีเกลือแร่บางชนิดคั่งมาก

2.  โรคหัวใจรุนแรง  เพราะมะม่วงมีแร่ธาตุเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจอย่าง โพแทสเซียมอยู่ค่อนข้างสูง  ถ้ายังไม่เป็นโรคหัวใจแต่ต้องการป้องกันโรคหัวใจไว้ก่อนขอให้เลือกมะม่วงน้ำดอกไม้เพราะมีเบต้าแคโรทีนเป็นธาตุบำรุงหัวใจที่ดี

มะม่วงสุกที่กินกับข้าวเหนียวมะม่วง มักมีวิตามินแร่ธาตุไม่ต่างกันมาก  ถ้าอยากได้ชนิดที่เนื้อเยอะวิตามินเอเยอะ ให้เลือ น้ำดอกไม้ มีเบต้าแคโรทีนสูงกว่ามะเขือเทศราชินีและมะละกอสุกอีก ถ้าอยากได้แป้งน้อยกว่าให้เลือกมะม่วงสุก  ถ้าอยากได้น้ำตาลน้อยให้เลือกมะม่วงดิบ

ข้าวเหนียวมูน มีแคลอรี่สูงจากแป้งขาว จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน  ถ้าจำเป็นต้องกินขอให้เน้นที่มะม่วงมากกว่าข้าวเหนียวเพราะเนื้อมะม่วงมีกากช่วยกันไม่ให้น้ำตาลซึมเข้าเลือดเร็วไป และไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง เพราะข้าวเหนียวกับกะทิมีความหวานและมันสูง

เทคนิคการกิน ข้าวเหนียวมะม่วงไม่เพิ่มพุง คือ

1.  ให้หนักมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว

2.  ใช้ข้าวเหนียวดำเพราะมีไฟเบอร์และแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี

3.  มื้อใดกินข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นไม่ควรรับประทานข้าวแล้ว

4.  ให้ถือข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารมื้อหนักมื้อหนึ่ง

5.  รับประทานทีละชุดเล็ก เช่น มะม่วงหนึ่งลูกต่อข้าวเหนียวมูนขนาดเท่ามะม่วงครึ่งลูก

6.  ขอให้รับประทานช่วงเที่ยงจะดีกว่าก่อนนอน


 ขอบคุณข้อมูล ประโยชน์และโทษของข้าวเหนียวมะม่วง
http://www.healthcarethai.com

สูตรการทำ ขนมไทย"ถั่วดำแกงบวด"


   ถั่วดำแกงบวด หรือ แกงบวดถั่วดำ หรือ ถั่วดำต้มกะทิ ก็แล้วแต่ละเรียกขานกัน....ขนมหวานรสชาติแบบไทย ๆ มีน้ำกะทิ และน้ำตาลที่ให้รสหอมหวานเป็นขนมทานได้ทุก ๆ ที่ ทุกเทศกาล

ส่วนผสม

-ถั่วดำ 2  ถ้วยตวง 
-หัวกะทิ 1/2  ถ้วยตวง 
-กะทิ 8 ถ้วยตวง 
-น้ำตาลปีบ 2 ถ้วยตวง 

วิธีทำ

1.ล้างถั่วดำให้หมดผง ต้มให้สุก
2.ผสมกะทิกับน้ำตาล ละลายให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟ  พอเดือดใส่ถั่วดำเคี่ยวต่อไป เมื่อถั่วดูดกะทิดีแล้ว ยกลง
3.เวลาจะรับประทาน หยอดหัวกะทิ ที่ตั้งไฟเดือดแล้ว

ที่มา http://prthai.com



อาหารไทย ขนมไทย สูตรอาหาร พร้อมวิธีการทำ © 2013 | Powered by Blogger | Blogger Template by DesignCart.org